KOH SICHANG - เกาะแห่งความรัก

 

        สวัสดี! ท่านทั้งหลาย... นี่คือบันทึกการเดินทางของข้าพเจ้าที่เกิดจากความตั้งใจที่จะออกเดินทางท่องเที่ยวให้ครบทั้ง 77 จังหวัด ของประเทศไทย! และด้วยเหตุนี้เองข้าพเจ้าจึงไม่สามารถที่จะเก็บเรื่องราวการเดินทางของข้าพเจ้าเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว 😎 ดังเช่นประโยคหนึ่งจากหนังเรื่อง "Into The Wild" ที่ได้กล่าวเอาไว้ว่า "Hapiness only real when shared ความสุขจะมีความหมายก็ต่อเมื่อได้แบ่งปัน” ไอ้ย่ะ! ประโยคนี้แหละที่ยังคงติดตรึงอยู่ในใจของข้าพเจ้ามาจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นข้าพเจ้าอยากจะขอแบ่งปันเรื่องราวการเดินทางอันแสนสุขเหล่านี้ให้แก่ท่านทั้งหลายได้รับฟังและรับชมผ่านตัวหนังสือและภาพถ่ายดังจะกล่าวเป็นลำดับถัดไปนี้แล…


        สำหรับสถานที่แรกที่ข้าพเจ้าอยากจะแชร์เรื่องราวให้ท่านทั้งหลายผ่านตัวอักษรเหล่านี้ นั่นก็คือสถานที่ที่เรียกได้ว่าเป็น “เมืองแห่งชายทะเลอันอุดมสมบูรณ์” อย่างจังหวัดชลบุรีนั่นเอง โดยการเดินทางในครั้งนี้ข้าพเจ้าเลือกที่จะเดินทางไปยังเกาะที่ถูกขนานนามว่าเป็น “เกาะแห่งความรัก” หรือ “เกาะสีชัง” ที่หลายท่านน่าจะพอคุ้นหูกันอยู่บ้างไม่มากก็น้อย



        “เกาะสีชัง” เป็นเพียงเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรี ซึ่งคำว่า "สีชัง" นั้นได้มีการสันนิษฐานถึงที่มาและความหมายเอาไว้หลายอย่าง และความหมายที่ถูกใจข้าพเจ้าที่สุดและข้าพเจ้าคาดว่าน่าจะเป็นความหมายที่มีความเชื่ยมโยงกับชื่อของเกาะแห่งนี้มากที่สุดนั่นก็คือ “สีชัง” เป็นคำที่มาจากภาษาจีนคือคำว่า “ซีซัน” หมายถึง “คนสี่คนทำไร่” โดยมีเรื่องเล่าที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ว่ากันว่าเมื่อก่อนในสมัยที่มีการติดต่อค้าขายกับชาวจีนก็ได้มีพ่อค้าเรือสำเภาจีนสี่คนเดินทางมาค้าขายบนเกาะแห่งนี้ จนกระทั่งวันหนึ่งพ่อค้าชาวจีนทั้งสี่คนนี้ก็เกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายในอาชีพค้าขายเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ลองเปลี่ยนมาทำอาชีพชาวไร่ชาวสวนแทน ซึ่งในเวลาต่อมาคำว่า “ซีซัน” ก็ได้แผลงมาเป็นคำว่า “สีชัง” นั่นเองจ้า โอ้วว… ช่างน่าสนใจมิใช่น้อย


        Bangkok - Koh Sichang, Chonburi (28 NOV 2020) - ข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อที่จะได้ใช้เวลาเรื่อยเปื่อยบนเกาะสีชังให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ แต่ข้าพเจ้าดันตื่นสาย! แต่ยังไม่สายเกินแก้ ฮ่าๆๆ ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงต้องรีบทำภารกิจส่วนตัวให้เสร็จแบบลวกๆ และออกเดินทางไปยังท่ารถตู้เพื่อที่จะเดินทางไปยังท่าเรือเกาะลอย และแล้วปัญหาก็เกิดตั้งแต่เริ่มออกเดินทางกันเลยทีเดียว เนื่องจากก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าได้ทำการศึกษาข้อมูลในการเดินทางไปยังท่ารถตู้ที่จะไปยังท่าเรือเกาะลอย ซึ่งจากการสืบค้นข้อมูลก็ได้ความว่า สามารถไปขึ้นรถได้ทั้งที่สถานีขนส่งเอกมัย อนุสาวรีย์ฯ และสถานีขนส่งหมอชิต โดยข้าพเจ้าได้เลือกเส้นทางที่ใกล้ที่สุดนั่นก็คืออนุสาวรีย์ฯ แต่พอไปถึงและได้สอบถามที่วินรถตู้ก็ได้ความว่า ณ ตอนนี้ไม่มีรถตู้จากอนุสาวรีย์ฯ ไปยังท่าเรือเกาะลอยแล้ว ถ้าจะไปขึ้นรถตู้ต้องไปขึ้นที่สถานีขนส่งเอกมัยหรือสถานีขนส่งหมอชิตแล้วไปลงที่ท่ารถตรงโรบินสันศรีราชา จากนั้นก็ค่อยต่อรถตุ๊กตุ๊กหรือวินมอเตอร์ไซต์ไปยังท่าเรอเกาะลอยนั่นเองจ้า

        สำหรับแผนการเดินทางของข้าพเจ้านั้นก็ไม่มีอะไรมากมาย โดยก่อนหน้าที่จะเดินทางไปยังเกาะแห่งความรักนี้ ข้าพเจ้าก็ได้ทำการศึกษาข้อมูลผ่านการเดินทางของหลายๆ ท่านและได้ข้อสรุปเป็นแผนการเดินทางเอาไว้ดังนี้ คือ เมื่อเดินทางไปถึงเกาะสีชังแล้วข้าพเจ้าจะเช่ารถสกาย
แลปเที่ยว (สกายแลปก็คือ ตุ๊กตุ๊ก นั่นแหละจ้า) และให้สกายแลปนำพาข้าพเจ้าไปยังร้านข้าวก่อนเป็นลำดับแรก ฮาา จากนั้นก็แล้วแต่ว่าสกายแลปจะนำพาข้าพเจ้าไปที่ไหนบ้าง แต่สิ่งที่สำคัญคือต้องพาข้าพเจ้ามาส่งที่ท่าเรือให้ทันเวลาเรือออกก็เป็นพอแล้วจ้า ^^


        ใช้เวลาเพียงไม่นานในการเดินทางไปยังสถานีขนส่งเอกมัย และในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้ทำการซื้อตั๋วเป็นที่เรียบร้อยในราคา 120 บาท จากนั้นข้าพเจ้าก็ขึ้นรถและเพียงไม่นานเกินรอ ในที่สุดข้าพเจ้าก็เดินทางมาถึงท่ารถโรบินสันศรีราชาเสียที ซึ่งหลังจากที่ข้าพเจ้าลงจากรถตู้แล้วข้าพเจ้าก็มองหาเมล์เครื่อง (“เมล์เครื่อง” แปลว่า “วินมอเตอร์ไซต์” เป็นภาษาท้องถิ่นของชาวราชบุรีจ้า ^^) เพื่อที่จะเดินทางไปยังท่าเรือเกาะลอย แต่มองแล้วมองอีกก็ไม่มีเมล์เครื่องเลยสักคัน มีเพียงแค่รถตุ๊กตุ๊กเท่านั้นที่จอดเรียงรายกันอยู่ ทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจนั่งรถตุ๊กตุ๊กแทนในราคา 80 บาท

        แค่พริบตาเดียวเท่านั้นข้าพเจ้าก็เดินทางมาถึงท่าเรือเกาะลอยแล้ว เย้ๆ ข้าพเจ้าช่างโชคดียิ่งนัก เพราะข้าพเจ้ามาทันเวลาเรือออกพอดี ณ เวลา 12.00 น. ซึ่งถ้าขึ้นไม่ทันขึ้นเรือเที่ยวนี้ข้าพเจ้าจะต้องรอขึ้นเรือในรอบถัดไปนั่นก็คือเวลา 16.00 น. โอ้ววว… ข้าพเจ้าช่างโชคดียิ่งนักแล ฮาา ต้องขออภัยท่านทั้งหลาย เนื่องจากมัวแต่จ้องจะขึ้นเรือเลยมิทันถ่ายรูปท่าเรือเอาไว้ให้ท่านทั้งหลายได้ชมกัน

สำหรับตารางเวลาเดินเรือของบริษัทนาวาโชคนำทรัพย์ตามด้านล่างเลยจ้า

(อัตราค่าโดยสารราคา 50 บาท/เที่ยว)
-ศรีราชา (ท่าเรือเกาะลอย) > 09.00, 12.00, 16.00, 18.00 -เกาะสีชัง > 06.45, 10.00, 15.00, 18.00


        ในที่สุดการเดินทางอันแสนยาวนานก็ได้สิ้นสุดลง ถึงแล้ว... เกาะสีชัง! สำหรับการนั่งเรือเพื่อเดินทางมายังเกาะสีชังจากท่าเรือเกาะลอยนั้นใช้เวลาเพียง 45 นาที เท่านั้นจ้า โดยระหว่างทางข้าพเจ้าหลับ! ฮ่าๆ เลยมิได้ชื่นชมวิวแต่อย่างใด แต่ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็คงมิสามารถชมวิวอันใดได้ เนื่องจากที่นั่งของข้าพเจ้านั้นอยู่ชั้นล่าง จึงทำให้ไม่สามารถมองเห็นวิวใดๆ ได้ทั้งสิ้น ฮ่าๆ แต่ไม่เป็นไร ข้ากลับก็ได้ ><  


สำหรับใครที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวยังเกาะสีชังนั้น ก็มีวิธีการเดินทางอยู่ 2 วิธี ดังนี้จ้า

1.การเช่ารถมอร์เตอร์ไซต์ - ราคา 250 - 300 บาท/วัน > เหมาะกับใครก็ตามที่รักอิสระ ต้องการละเลียดไปกับการชื่นชมบรรยากาศรอบๆ เกาะ  

2.การเหมารถสกายแลปเที่ยวภายในเกาะ  

- ราคา 250 บาท/วัน (เหมาเที่ยว 4 สถานที่หลักๆ บนเกาะ ได้แก่ ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่, จุดชมวิวช่องเขาขาด หรือช่องอิศริยาภรณ์, สะพานอัษฎางค์ และหาดถ้ำพัง หรืออ่าวอัษฎางค์ เป็นต้น) > เหมาะสำหรับคนที่ขี่มอร์เตอร์ไซต์ไม่แข็งอย่างเช่นตัวข้าพเจ้าเอง ฮ่าๆ หรือขี่มอร์เตอร์ไซต์ไม่เป็น และคนที่ไม่อยากตากแดด และมีเวลาน้อยก็สามารถท่องเที่ยวและเพลิดเพลินได้กับสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ ภายในเกาะสีชังแห่งนี้ บอกเลยว่าการนั่งสกายแลปเที่ยวชิวไปอีกแบบนะจ๊ะ นั่งเพลินๆ ชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ ช่างสุขสำราญยิ่งนักแล 

- ราคา 300 บาท/วัน (เหมาเที่ยวรอบเกาะ) > เหมาะสำหรับคนที่มีเวลาเยอะ และอยากจะเที่ยวให้คุ้มที่สุด นานๆ จะมีโอกาศได้มาติดเกาะสักทีก็ขอเที่ยวให้คุ้มหน่อยแล้วกันวะ! ^^

        ใครที่ชื่นชอบการเดินทางแบบไหนก็เลือกได้เลย เพราะไม่ว่าท่านจะเลือกเส้นทางแบบไหนก็สามารถไปถึงจุดหมายปลายทางที่ท่านตั้งใจจะไปให้ถึงได้เช่นเดียวกัน อาจจะช้าหน่อยแต่รับรองว่าถึงอย่างแน่นอน! ว่าแล้วก็ไปกันต่อเถอะ! ฮ่าๆๆ


        หลังจากข้าพเจ้าได้ทำการเช่ารถสกายแลปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากข้าพเจ้าเดินทางคนเดียวและขี่มอเตอร์ไซต์ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าใดนัก จึงตัดสินใจที่จะใช้บริการรถเช่าสกายแลป นั่งชมนกชมไม้กันไป โดยจุดแรกที่ข้าพเจ้าจะเดินทางไปนั่นก็คือ "ร้านข้าว" นั่นเอง ฮ่าๆๆ ท้องของข้าพเจ้านั้นไม่สามารถที่จะอดทนต่อความหิวได้อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นจึงขอให้สกายแลปพาแวะมากินข้าวก่อน โดยข้าพเจ้าบอกพี่คนขับสกายแลปว่าช่วยพาข้าพเจ้าไปร้านข้าวธรรมดา ร้านถูกๆ ไม่แพงมากหน่อยจ้า พี่สกายแลปก็จัดให้ข้าพเจ้าไปนั่งกินข้าวที่ร้านข้าวอิสลามแห่งหนึ่งบนเกาะสีชัง ข้าพเจ้าทำการสั่งกระเพราทะเลทันทีทันใดแบบไม่ต้องดูเมนูกันเลยทีเดียว ฮ่าๆ ข้าพเจ้าใช้เวลาไม่นานในการละเลียดข้าวที่อยู่บนจานพร้อมทั้งสนทนากับเจ้าของร้านเล็กน้อย คุณลุงเจ้าของร้านเป็นคนใต้ แกเคยไปขายของอยู่กรุงเทพฯ สักพักนึงก่อนจะมาลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ คุณลุงบอกว่าอาหารทะเลที่นี่สดๆ ทั้งนั้นเลย พร้อมทั้งถามข้าพเจ้าหลังจากที่ข้าพเจ้ากินข้าวเกือบจะหมดจานแล้วว่า "รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง สดเหมือนอย่างลุงว่ามั้ย" ข้าพเจ้าบอกว่า "อร่อยจ้า" พร้อมทั้งรอยยิ้มอันสดใส ฮ่าๆ 



        หลังจากอิ่มหนำสำราญแล้ว ข้าพเจ้าก็กดโทรเรียกพี่สกายแลปให้มารับข้าพเจ้าทันทีทันใด และเพียงไม่นานพี่สกายแลปก็เดินทางมาถึงพร้อมทั้งนำพาข้าพเจ้าเดินทางไปยังจุดท่องเที่ยวจุดแรกตามโปรแกรมนั่นก็คือ "ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่” โดยศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่แห่งนี้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของผู้คนที่อาศัยอยู่บนเกาะสีชังแห่งนี้ หากใครที่ได้มีโอกาสเดินทางมาท่องเที่ยวบนเกาะสีชังแล้วก็อย่าลืมเดินทางมาสักการะบูชาเจ้าพ่อเขาใหญ่กันน้า เพราะมีความเชื่อว่าหากได้มากราบไหว้ขอพรติดต่อกัน 3 ปี ท่านจะสมปราถนาในสิ่งที่ขอนั่นเอง! ข้าพเจ้าขอไปหลายเรื่องกันเลยทีเดียว 😁







        หลังจากสักการะบูชาเจ้าพ่อเขาใหญ่ และดื่มด่ำกับวิวทิวทัศน์อันสวยงามเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป นั่นก็คือ "ช่องเขาขาด หรือ "ช่องอิศริยาภรณ์" ซึ่งที่นี่จะมีลักษณะเป็นช่องเขาที่ขาดแยกออกจากกันตั้งอยู่ด้านหลังเกาะทางทิศตะวันตกติดกับแหลมมหาวชิราวุธ โดยหากใครที่ได้มาที่นี่ตอนเย็นๆ ท่านจะได้ชื่นชมกับวิวอันแสนงดงามขอพระอาทิตย์ตกดินอย่างแน่นอน แต่หากใครมาช่วงบ่ายๆ เช่นข้าพเจ้าแล้วละก็ท่านจะได้อาบแสงแดดอันร้อนแรงและรับวิตามินดีๆ จากพระอาทิตย์เป็นแน่แท้ ที่สำคัญคืออย่าลืมทาครีมกันแดดมากันน้า




        หลังจากข้าพเจ้าได้อาบแดดจนไหม้เกรียมแล้ว ข้าพเจ้าก็ขอไปเดินเล่นที่ "พระราชวังพระจุฑาธุชราชฐาน" ที่ซึ่งมี "สะพานอัษฎางค์" ที่ถูกสร้างเอาไว้เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนบนเกาะแห่งนี้ โดยเมื่อก่อนที่เกาะสีชังตอนเวลาน้ำลงทำให้ชาวบ้านไม่สามารถนำเรือเข้ามาจอดเทียบถึงชายหาดได้ ทำให้ต้องเดินลุยน้ำขึ้นลงเป็นเรื่องที่ลำบากยิ่งนัก แถมยังถูกเปลือกหอยบาดเข้าไปอี๊ก! ทำให้รัชกาลที่ 5 ท่านทรงโปรดเกล้าฯ ให้ส้รางสะพานแห่งนี้ขึ้นนั่นเอง เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ราษฎรที่อาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้นั่นเองจ้า 


        หากจะกล่าวถึงผู้คนที่อยู่อาศัยบนเกาะแห่งนี้แล้วนั้น ข้าพเจ้าบอกเลยว่ามีความเป็นมาอันยาวนานมากๆ โดยในช่วงยุคต้นๆ สมัยรัตนโกสินทร์นั้นก็ได้มีการมาอยู่อาศัยของผู้คนแล้ว ซึ่งในแรกเริ่มเดิมทียังเป็นเพียงชุมชนเล็กๆ มีผู้คนอาศัยอยู่เพียงไม่กี่หลังคาเรือนเท่านั้น โดยอาชีพ หลักๆ ของผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็คืออาชีพประมงและเกษตรกรรมนั่นเองจ้า ซึ่ง ณ ตอนนั้นผู้คนบนเกาะแห่งนี้ทำการประมงเพื่อยังชีพเท่านั้น หากหาปลาปูมาได้เยอะจนเหลือแล้วทานไม่หมดก็จะถูกแบ่งเอาไปให้เพื่อนบ้าน และนอกจากนั้นยังมีการแลกเปลี่ยนพวกเครื่องนุ่งห่มกันอีกด้วย  ซึ่งหลังจากนั้นสยามประเทศก็ได้มีการติดต่อค้าขายสินค้าต่างๆ กับประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอาชีพจากเดิมที่ทำการประมงและการเกษตรเพื่อยังชีพก็ปรับเปลี่ยนมาเป็นการค้าขายเชิงพาณิย์กันมากขึ้นนั่นเองจ้า


        นอกจากน้้น ณ สถานที่แห่งนี้ ท่านทั้งหลายก็จะได้ชื่นชมกับความสวยงามของวิวทิวทัศน์รอบๆ พระราชวังอีกด้วย บอกได้เลยว่าสถานที่แห่งนี้ช่างโรแมนติกยิ่งนักแล… ข้าพเจ้าเดินชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้พบกับเรือนไม้สีเขียวหลังหนึ่งที่มีรูปทรงทางสถาปัตยกรรมอันงดงามยิ่งนัก ซึ่งเรือนไม้แห่งนี้ก็คือ "เรือนไม้ริมน้ำ" หรือเรียกอีกชื่อว่า "เรือนขนมปังผิง" ที่ได้มีการสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นที่พักตากอากาศของชาวดัทช์หรือชาวฮอลันดา ซึ่งต่อมารัชกาลที่ 5 ท่านทรงโปรดเกล้าฯ ให้ปรับปรุงและใช้เป็นที่ประทับแรมของพระราชวงศ์นั่นเอง


        เรือนไม้อีกหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก นั่นก็คือ "เรือนวัฒนา" ซึ่งเรือนไม้หลังนี้รัชกาลที่ 5 ท่านทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่พักสำหรับผู้ป่วยที่เดินทางมารักษาตัวที่เกาะสีชังแห่งนี้นั่นเอง


        หลังจากข้าพเจ้าเดินเล่นอยู่พักหนึ่งก็ได้เวลาอันสมควรแล้ว โดยข้าพเจ้าตั้งใจที่จะไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ "หาดถ้ำพัง" หรือ "อ่าวอัษฎางค์" เพราะที่นี่เป็นอีกหนึ่งจุดในการชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามเป็นยิ่งนัก โดยที่มาของชื่อหาดถ้ำพังก็คือ ที่นี่เคยมีถ้ำพังตัวลงมา ณ บริเวณชายหาดทำให้ชาวบ้านเรียกที่นี่ว่าหาดถ้ำพังนั่นเอง นอกจากนั้นที่นี่ยังเป็นหาดที่เหมาะสมและปลอดภัยสำหรับการเล่นน้ำอีกด้วยนะจ๊ะ

        เป็นเวลาเกือบหกโมงเย็นแล้ว และก็ได้เวลาอันสมควรของข้าพเจ้าที่จะขึ้นเรือเที่ยวสุดท้ายเพื่อเดินทางออกจากเกาะแห่งความรักนี้ ><

ข้าพเจ้าขอบอกว่า... ขากลับข้าพเจ้าได้นั่งเรือชั้นบนนะจ๊ะ :) และวิวก็ช่างงดงามเป็นยิ่งนักแล…


อ้างอิง


Comments