เขาหลวง (Khao Luang, Sukhothai)

 


        “เขาหลวง จ๋าาา” มาแล้วโว้ยยยย…. :) ในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้มีโอกาศมาเดินขึ้นเขาหลวงสักที หลังจากการได้รับฟังเรื่องราวการเดินทางของหลายๆ ท่าน ทำให้ข้าพเจ้าต้องมาสัมผัสมันด้วยตัวเองกันสักหน่อย ฮ่าๆๆ โดยข้าพเจ้าขอบอกก่อนเลยว่า ข้าพเจ้ามิได้เป็นนักเดินป่าตัวยงดอกหนา เพียงแต่ชื่นชอบในการสัมผัสกับขุนเขา ชอบฟังเสียงของธรรมชาติ ชอบให้สายตาได้ผ่อนคลายไปกับสีของต้นไม้ใบหญ้า และชื่นชมสีสันของท้องฟ้าในยามเย็น พร้อมกับการได้สูดอากาศอันบริสุทธิ์จากป่าเขาลำเนาไพร นี่แหละเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้าได้เดินทางมายัง “เขาหลวง” ที่ข้าพเจ้าได้ยินมาว่าเส้นทางโคตรโหด ทางโคตรชัน แต่ถ้าขึ้นไปถึงแล้ว คุณจะไม่ผิดหวัง!!! ฮ่าๆๆ ถ้าอย่างนั้นแล้วก็อย่ารอช้า เริ่มออกเดินทางกันเลยพี่น้อง!
        ทั้งนี้ “เขาหลวง” ตั้งอยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติรามคำแหง อำเภอคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย เป็นอุทยานแห่งชาติที่มี่พื้นที่ป่าอันอุดมสมบูรณ์รวมทั้งยังเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร และยังมีวิวทิวทัศน์ที่่
สวยงามมากๆๆๆ โดยมีระยะทางในการเดินประมาณ 3.7 กม. และมีระดับความสูงประมาณ 1,200 เมตร จากระดับน้ำทะเลจ้า 
        Day 1: 20 Nov 2021 - BKK - Sukhothai - สำหรับการเตรียมตัวเดินทางในครั้งนี้ก็ไม่มีอะไรมากมาย โดยข้าพเจ้าได้เตรียมถุงนอน เสื้อแขนยาวสำหรับใส่นอนตอนกลางคืน และของใช้ส่วนตัวต่างๆ โดยอุปกรณ์ในการชาร์ตแบตนั้น ข้าพเจ้าเตรียมไปแค่พาวเวอร์แบงค์หนึ่งอันเท่านั้น ส่วนกล้องถ่ายรูปข้าพเจ้าคำนวนเอาไว้แล้วว่าน่าจะอยู่ได้เพียงพอสำหรับหนึ่งคืน และข้าพเจ้าก็จัดการเตรียมกระเป๋าเดินทางสำหรับใส่เสื้อผ้าจำนวนหนึ่งใบ และกระเป๋าสะพายใบเล็กเอาไว้สำหรับใส่ของจิปาถะต่างๆ ระหว่างเดินป่าอีกหนึ่งใบเท่านั้น! จากนั้นข้าพเจ้าก็เดินทางไปที่สถานีขนส่งหมอชิตเพื่อทำการซื้อตั๋วไปสุโขทัยจ้า          ข้าพเจ้าซื้อตั๋วรอบดึกสุด โดยกะว่าจะให้เดินทางไปถึงตอนเช้าพอดิบพอดีน่าจะถึงประมาณสัก 6 โมงเช้า แต่ตอนไปซื้อตั๋วทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่ารอบดึกสุดจะเป็นรอบสองทุ่ม โดยจะไปถึงคีรีมาศประมาณตีสี่ครึ่ง ข้าพเจ้าก็ไม่มีทางเลือกมากนักก็เลยตัดสินใจซื้อตั๋วรอบนั้นไป เนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงที่โควิดกำลังระบาดอีกระลอก ทำให้จำนวนรถโดยสารมีน้อย ข้าพเจ้าเลยจำเป็นต้องซื้อตั๋วรอบนั้นไปก่อน พร้อมทั้งได้ถามเจ้าหน้าที่ว่ามีตั๋วขากลับมากรุงเทพฯ รอบกี่โมง กะว่าจะเอาแบบช่วงบ่ายแก่ๆ แต่เจ้าหน้าที่แจ้งว่าตั๋วขากลับมีแค่รอบเดียวเท่านั้นคือรอบ 09.20 น. ซึ่งเช้ามาก โดย ณ ตอนนั้น ข้าพเจ้ากังวลมากว่าจะลงมาจากเขาหลวงทันรอบรถทัวร์ขากลับตอนเก้าโมงหรือไม่ เนื่องด้วยข้าพเจ้ามิได้หาเวลาให้ตัวเองได้ศึกษาข้อมูลเรื่องรถโดยสารขากลับมากรุงเทพฯ จึงได้ตัดสินใจซื้อตั๋วรอบนั้นไป โดยมารู้ทีหลังว่าจริงๆ แล้วมันมีรถทัวร์รอบเวลาอื่นๆ ด้วย แต่แค่คนละบริษัทกัน โดยสามารถหาซื้อได้ที่ขนส่งของสุโขทัยเลย ฮ่าๆๆๆ (ช่างมันๆ)



        หลังจากข้าพเจ้าทำการซื้อตั๋วเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็กลับไปจัดกระเป๋า พร้อมนอนอีกสักตื่นเพื่อรอเวลาขึ้นรถทัวร์รอบ 20.00 น. โดยจากกรุงเทพฯ จะใช้เวลาในการเดินทางไปถึงสุโขทัยประมาณ 7 ชั่วโมงและก็ได้เวลาในการเดินทางไปขนส่งหมอชิตแล้วววว หลังจากข้าพเจ้าขึ้นรถแล้วก็เตรียมงีบจ้า อีก 7 ชั่วโมง เจอกัน สุโขทัย! :) 

                 Day 2: 21 Nov 2021: Sukhothai - ถึงแล้ว… สุโขทัย! พอลงจากรถข้าพเจ้าขอบอกเลยว่า โคตรวังเวง ฮ่าๆๆ เนื่องจากรถทัวร์มาส่งข้าพเจ้าไว้ที่ท่ารถตรงศาลพระแม่ย่า ซึ่ง ณ บริเวณนั้นไม่มีคนเลย แต่ยังดีที่มีเซเว่นอยู่ตรงนั้น โดยเมื่อวานข้าพเจ้าได้ติดต่อเมล์เครื่อง (มอเตอร์ไซต์รับจ้าง) เอาไว้แล้ว ว่าให้มารับที่ท่ารถตรงศาลพระแม่ย่า ตอนประมาณตีสี่ครึ่ง ซึ่งพอข้าพเจ้าไปถึงก็โทรไปหาคุณลุงเมล์เครื่องรับจ้างทันที เพื่อให้มารับข้าพเจ้าไปส่งที่อุทยานแห่งชาติรามคำแหง จากนั้นไม่นานคุณลุงก็มาถึงพร้อมกับรถมอเตอร์ไซต์หนึ่งคัน คุณลุงบอกว่านั่งรออยู่แถวนี้ก่อนก็ได้ เพราะไปตอนนี้อุทยานก็ยังไม่เปิดหรอก น่าจะเปิดประมาณหกโมงเช้า ข้าพเจ้าก็โอเค นั่งรอไป ซึ่งดีอย่างนึงตรงที่ข้าพเจ้านั่งรอเป็นป้อมตำรวจมีทั้งห้องน้ำ และที่ชาร์ตไฟอยู่ด้วย ข้าพเจ้าเลยได้ชาร์แบตมือถือไปด้วยและชวนคุณลุงคุยไปด้วยเลย ระหว่างรอเวลา
        ไม่นานนัก ข้าพเจ้าคิดว่าก็น่าจะได้เวลาอันสมควรแล้วที่จะเข้าไปที่อุทยานฯ ก็เลยให้คุณลุงก็ขับรถมาส่งที่อุทยานฯ ซึ่งในระหว่างที่นั่งอยู่บนมอเตอร์ไซต์นั้น ข้าพเจ้าอยากจะบอกว่าอากาศมันหนาวมากกก หนาวแบบซึมเข้าไปในกระดูกดำกันเลยทีเดียว ฮ่าๆๆ จากตอนแรกที่คิดว่าไม่น่าจะหนาวมากมายนักหรอก แต่พอเข้ามาในพื้นที่ที่มีป่าก็ปรากฎว่า มันหนาวมากกกกกกก          จากนั้นไม่นาน ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที ได้อยู่นะ คุณลุงก็ขับมาส่งตรงบริเวณด้านหน้าของอุทยานฯ โดยข้าพเจ้าต้องนั่งรถด้านหน้าอุทยานฯ อยู่สักพัก เพราะมาถึงก่อนเวลา ซึ่ง ณ ตอนนี้ก็ได้มีเจ้าหน้าที่ของอุทยานฯ ออกมานั่งเตรียมพร้อมตรงจุดตรวจคนด้านหน้าทางเข้าแล้ว โดยก่อนจะเข้าไปข้าพเจ้าก็ต้องยื่นผลตรวจ ATK ที่ถ่ายรูปมาพร้อมกับบัตรประชาชน และข้าพเจ้าได้แคปหน้าจอการจองเพื่อเข้า
อุทยานฯ ผ่านแอป QueQ โชว์ให้เจ้าหน้าที่ดูก่อน และวัดอุณหภูมิ โดยหลังจากวัดอุณหภูมิแล้วข้าพเจ้าก็ต้องเข้าไปบริเวณด้านในของอุทยานฯ อีก โดยคุณลุงได้ขับรถมอเตอร์ไซต์มาส่งข้าพเจ้าถึงบริเวณด้านในเลยจ้า ขอบคุณค่า :) (**ข้าพเจ้าจำค่าเมล์เครื่องไม่ได้ กราบขออภัย**)

        พอมาถึงด้านในอุทยานฯ แล้ว ข้าพเจ้าก็เดินเข้าไปหาเจ้าหน้าที่อุทยานฯ เพื่อทำการเช่าเต้นท์
(หากเราเช่าเต้นท์ของอุทยานฯ แล้ว ไม่ต้องเสียค่าสถานที่จ้า) และจ้างลูกหาบในการแบกกระเป๋าข้าพเจ้าขึ้นไปด้วย โดยที่นี่จะคิดราคาตามน้ำหนักของกระเป๋า คิดราคาเป็นกิโลละ 25 บาท ซึ่งกระเป๋าของข้าพเจ้าชั่งน้ำหนักแล้วได้ประมาณ 7 กก. ราคาจะเป็น 175 บาท บวกค่าเสื่อปูนอนในเต้นท์ไปอีก 20 บาท และค่ามัดจำขยะ 200 บาท (ค่ามัดจำขยะจะได้คืนหลังจากเราลงมาจากเขาหลวงแล้วจ้า) ข้าพเจ้าทำการจ่ายเงินให้กับเจ้าหน้าที่ไปทั้งหมด 445 บาท ถ้วนจ้า 

          ในที่สุด ก็ได้เวลาเริ่มออกเดินกันแล้ววว โดยก่อนหน้านี้ ข้าพเจ้าขอบอกเลยว่า ข้าพเจ้านั้นไม่ได้เตรียมตัวในการเดินเขา หรือออกกำลังกายมาสักเท่าไหร่ เพราะข้าพเจ้าคิดว่ายังไงซะ ข้าพเจ้าก็น่าจะเดินได้จนไปถึงบริเวณลานกางเต้นท์ แค่ค่อยๆ เดิน เดี๋ยวก็ถึง โดยตอนแรกที่ข้าพเจ้าเริ่มเดิน ข้าพเจ้าก็ยังสบายๆ อยู่ แต่พอเดินมาสักพักเท่านั้นแหละ อาการมันเริ่มมา ฮ่าๆๆ เส้นทางเดินนี่ชันอย่างเดียวเลย ข้าพเจ้าหาทางราบไม่เจอ แต่ก็ยังไหวอยู่ เดินบ้าง หยุดบ้าง พักบ้าง จิบน้ำบ้าง ทักทายคนที่เดินสวนไปมาบ้าง :)













ข้าพเจ้าค่อยๆ เดินขึ้นมาเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เดินมาถึงจนได้!! โคตรเหนื่อยยยยยยย ฮ่าๆๆๆๆ ซึ่งข้าพเจ้าใช้ระยะเวลาในการเดินขึ้นมาทั้งสิ้น 4 ชั่วโมง จนมาถึงบริเวณลานกางเต้นท์ โดยระยะทางช่วงสุดท้ายก่อนจะขึ้นมาถึงลานกางเต้นท์นั้น ทางเดินขึ้นมาโคตรชัน ชันแบบเป็นแนวตรงดิ่ง 90 องศา กันเลยทีเดียวทุกคน! 

        หลังจากที่ข้าพเจ้าเดินมาจนถึงบริเวณลานกางเต้นท์แล้ว ข้าพเจ้าก็เอาใบจองเต้นท์ไปยื่นให้กับเจ้าหน้าที่บริเวณด้านบน และรอรับกระเป๋าของตัวเองที่ข้าพเจ้าจ้างลูกหาบให้แบกขึ้นมาด้วย จากนั้นข้าพเจ้าก็สอบถามทางเจ้าหน้าที่ว่ามีมาม่าหรือของกินอะไรบ้าง ทางเจ้าหน้าแจ้งกลับมาว่าตอนนี้มีเหลืออยู่แค่ข้าวไข่เจียว มาม่าหมดแล้ว และมีน้ำเปล่า ไม่มีน้ำอัดลม และที่สำคัญคือ ไม่มีน้ำแข็ง! ฮ่าๆๆ ทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่าของหมดไปเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เนื่องจากจำนวนคนที่มาเดินขึ้นเขาหลวงเมื่อวันเสาร์นั้น มีจำนวนเยอะมาก โดยของจะมาส่งวันจันทร์ ข้าพเจ้าก็เลยสั่งข้าวไข่เจียวเอาไว้ สำหรับข้าวกลางวัน จากนั้นจึงเดินไปเลือกและจับจองเต้นท์ของตัวเองเอาไว้ก่อนจ้า 
        หลังจากที่ได้เต้นท์เป็นของตัวเองแล้ว ข้าพเจ้าก็ไปนั่งกินข้าวกลางวัน และของีบสักหนึ่งชั่วโมงกะว่าพอบ่ายแก่ๆ ว่าจะเดินไปตามจุดชมวิวต่างๆ และไปดูวิวพระอาทิตย์ตกดินด้วยเลย ^^ 


        ประมาณบ่ายแก่ๆ ข้าพเจ้าก็พร้อมแล้ว หลังจากงีบหลับไปประมาณชั่วโมงกว่าๆ ข้าพเจ้ากะว่าจะเดินไปตามจุดชมวิวต่างๆ และหามุมถ่ายรูปแบบคูลๆ ฮ่าๆๆ

        ข้าพเจ้าเริ่มออกเดินเท้ามาสักพัก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะข้าพเจ้าเพลียจากการเดินขึ้นเขาตั้งแต่เช้าตรู่ หรือเป็นเพราะอากาศอันร้อนอบอ้าวในตอนกลางวัน หรือเป็นเพราะทั้งสองอย่าง อาจเป็นได้ทั้งสองอย่าง ฮ่าๆๆๆ เพราะแค่ข้าพเจ้าได้เห็นเนินเขาอันสูงตระง่านอยู่ตรงนั้น ข้าพเจ้าก็แทบจะไม่อยากก้าวเท้าเดินเลยสักนิดเดียว ฮ่าๆๆๆ แม้ร่างกายจะไม่ไหว แต่ขอบอกว่าใจข้าพเจ้าได้ไปยืนรออยู่ตรงยอดเข้าด้านหน้าของข้าพเจ้าแล้วจ้า ><         ข้าพเจ้าลืมบอกไปเลย ตั้งแต่ที่ข้าพเจ้าเดินขึ้นเขามาตอนเช้าตรู่ จนตอนบ่ายแก่ๆ ที่จะขึ้นไปดูวิว ข้าพเจ้าสังเกตุเห็นว่ามีนักวิ่งเทรลหลายท่านได้มาวิ่งที่เส้นทางเขาหลวงแห่งนี้ ข้าพเจ้าอยากจะบอกว่าโคตรนับถือที่นักวิ่งเทรลเหล่านั้นสามารถวิ่งขึ้นเขาหลวงได้อย่างสบายๆ ประหนึ่งว่า เขาหลวงเป็นเส้นทางอันราบเรียบที่โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ ฮ่าๆๆ แต่สุดยอดมาก respect!

        ในที่สุด ข้าพเจ้าก็เดินทางมาถึงจุดชมวิวจุดแรกแล้ว! เย้! และนี่ก็คือ “จุดชมวิวเขาพระเจดีย์” มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปางกลางประมาณ 1,185 เมตร โดยจุดชมวิวจุดแรกนี้อยู่ไม่สูงมากนักมั้ง ฮ่าๆ แต่วิวดี อากาศดี ลมดี โดยรวมดี รู้สึกได้ถึงความผ่อนคลาย สบายตา สบายใจ ซึ่งในขณะที่ข้าพเจ้าได้ชมนกชมไม้อยู่นั้นพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นพี่ผู้หญิงสองท่านที่ข้าพเจ้าเจอตอนนั่งกินข้างอยู่ตรงลานกางเต้นท์เมื่อตอนกลางวันนั่งอยู่แถวนั้นพอดี ข้าพเจ้าก็เดินไปทักทายสักเล็กน้อย โดยพี่ทั้งสองท่านนั้นบอกกับข้าพเจ้าว่าให้เดินไปเขาอีกลูกนึงดูสิ วิวสวยมาก พร้อมทั้งชี้ไม้ชื้มือไปยังภูเขาลูกนั้น ซึ่งก็ไม่ไกลกันมากจากเขาลูกที่ข้าพเจ้ายืนอยู่นี้ ในตอนแรกข้าพจ้าคิดลังเลอยู่ว่าจะไปต่ออีกหน่อยมั้ย คิดไปคิดมา ก็ได้วะ! มาถึงแล้วก็ไปให้สุด พร้อมสองขาก้าวเดินไปยังเขาลูกนั้นแต่เพียงผู้เดียว >< 
        ข้าพเจ้าเดินมาถึงอีกหนึ่งจุดชมวิวที่อยู่ไม่ไกลจากจุดชมวิวเขาเจดีย์มาก (ข้าพเจ้าจำชื่อจุดชมวิวของเขาลูกนี้ไม่ได้ ฮ่าๆๆ กราบขออภัย) พอข้าพเจ้าเดินมาถึงด้านบนแล้วก็อยากจะตะโกนออกไปดังๆ ว่า วิว โคตร สวย เลย โว้ยยยยยยยยยยยยย มันสวยมากจริงๆ ดูได้จากรูปที่ข้าพเจ้าได้ถ่ายเก็บเอาไว้ ท่านทั้งหลายเชื่อมั้ยว่า ข้าพเจ้านั่งนั่ง เดินเดิน อยู่บนนั้นจนพระอาทิตย์ตกดินเลยล่ะ มันละสายตาไม่ได้จริงๆ เพราะสีและแสงของท้องฟ้าจะเปลี่ยนไปตามช่วงเวลาของมัน ยิ่งเย็นยิ่งสวย สวยมากๆ จริงๆ :)










           ข้าพเจ้านั่งรอชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า และอยู่ต่ออีกนิดจึงค่อยเดินลงมาก่อนที่จะมืดค่ำไปมากกว่านี้ เดี๋ยวจะมองไม่เห็นทางกลับไปที่ลานกางเต้นท์กันพอดี (ไม่ได้พกไฟฉายมากะเค้าด้วย เห้ออ ฮ่าๆๆ) กลัวตัวเองจะหลอนไปเองด้วย ฮ่าๆๆๆ 
















        หลังจากที่ข้าพเจ้าเดินลงมาจนถึงลานกางเต้นท์แล้ว สิ่งแรกที่ข้าพเจ้าจะทำเลยนั่นก็คือ ขอสั่งข้าวไข่เจียวกินก่อนสำหรับมื้อเย็นในวันนี้ ฮ่าๆๆๆ เพราะทางเจ้าหน้าที่บอกว่าตอนนี้ยังไม่มีน้ำร้อนต้มมาม่า ทั้งที่ในใจข้าพเจ้าอยากกินมาม่าร้อนๆ มากๆ แต่ก็ไม่เป็นไร เพื่อความอยู่รอดก็ข้าวไข่เจียวนี่แหละ

        หลังจากอาหารมื้อเย็นอันแสนอร่อย ข้าพเจ้าก็เตรียมตัวไปอาบน้ำ ซึ่งในตอนแรกข้าพเจ้าคิดว่าที่
อุทยานฯ น่าจะมีน้ำอุ่นให้อาบ แต่ปรากฎว่าพอได้เข้าไปในห้องน้ำเท่านั้นแหละ คุณพระ! ไม่มีน้ำร้อน น้ำอุ่นอะไรทั้งสิ้น! และด้วยความที่ข้าพเจ้าอยากอาบน้ำมากๆ เพราะเหงื่อออกเหนียวเหนอะทั้งวัน เลยกัดฟันตักราดตัวไปสองสามสี่ครั้ง และราดหัวสระผมไปด้วย โอ้วววโหวววว เป็นการอาบน้ำที่สุดยอด! สั่นไปทั้งตัวเลย พี่น้อง! ฮ่าๆๆๆ (อากาศตอนกลางวันร้อนอบอ้าว ส่วนตอนกลางคืนนั้นก็ช่างแสนจะเยือกเย็น…)

        สำหรับการเดินขึ้นเขาในวันนี้ก็สิ้นสุดลง และก็ได้เวลาเข้านอนของข้าพเจ้าแล้วจ้า ตอนแรกกะว่าจะนั่งรับลมมองดูดวงดาวและท้องฟ้ายามค่ำคืน แต่อากาศตอนกลางคืนท่ามกลางขุนเขาลำเนาไพรนั้น ช่างหนาวเสียนี่กระไร ข้าพเจ้าเลยคิดว่าเอาเวลาที่มีไปนอนเลยดีกว่า เพราะพรุ่งนี้ข้าพเจ้าต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อที่จะเดินลงเขาให้ทันรถขากลับเข้ากรุงเทพฯ ก่อน 9 โมงเช้า ข้าพเจ้าโทรนัดลุงเมล์เครื่องรับจ้างให้ไปส่งที่ท่ารถแล้วเรียบร้อยตอน 9 โมงเช้า ยังไงซะข้าพเจ้าต้องเดินลงให้ถึงด้านล่างภายในระยะเวลา 3 ชม. ให้ได้ เอาวะ! สู้! You can do it! ฮาาาา




        เช้าแล้วๆ ข้าพเจ้าตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อล้างหน้าแปลงฟัน ในขณะเดียวกันนั้น ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงคนอื่นๆ เตรียมเดินขึ้นเขาเพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้ากันแล้ว เฮ้อออ ข้าพเจ้าแอบเสียดายที่ไม่ได้มี โอกาศได้ขึ้นไปดูพระอาทิย์ขึ้นกับเค้าบ้าง แต่ก็นนั่นแหละ ตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้แล้ววว ฮ่าๆๆๆ         ข้าพเจ้าพร้อมเดินลงเขาแล้วจ้าาาา ลุย! ระหว่างทางข้าพเจ้าแทบจะไม่เห็นคนเดินสวนขึันมาเลย ยกเว้นลูกหาบ ก็ใช่แหละใครจะเดินขึ้นมาตั้งแต่ไก่โห่ว อุทยานฯ ก็เพิ่งจะเปิด! (แอบหลอนไปเอง ฮ่าๆๆ)

         โอ้วว ขาเดินลงเขา ข้าพเจ้าแบกกระเป๋าทั้งหมดลงไปด้วยตัวเอง น้ำหนักกระเป๋านิดเดียวแค่ 7 กก. กับอีกหนึ่งใบเล็กเอง ฮ่าๆๆๆ ระหว่างทางเดินลงมาข้าพเจ้าได้หยุดเพักดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้านิดหน่อย และก็เร่งฝีเท้าเพื่อที่จะต้องทำเวลาในการเดินลงเขาอีก…. จนในที่สุด ข้าพเจ้าก็เดินลงมาถึงจนได้ ตอน 9 โมงเช้าพอดิบพอดี โดยข้าพเจ้าอยากจะบอกว่า ข้าพเจ้านั้นก้าวขาแทบไม่ออกตอนที่เดินมาจนถึงตีนเขาแล้ว ขาสั่นไปหมด TT

        
         พอเดินมาถึงบริเวณด้านหน้าอุทยานฯ แล้ว ข้าพเจ้าก็รีบวิ่งไปที่เคาน์เตอร์เพื่อที่จะเอาค่ามัดจำขยะคืนเป็นเงินจำนวน 200 บาท (ใครที่ไปเดินป่า กางเต้นท์ อย่าลืมเก็บขยะนำลงมาทิ้งด้วยน้าา) จากนั้นข้าพเจ้าก็กำลังจะโทรหาคุณลงเมย์เครื่องรับจ้างว่าถึงแล้วน้า แต่พอข้าพเจ้ากำลังจะเดินไปห้องน้ำ ข้าพเจ้าก็เห็นคุณลุงจอดรถมอเตอร์ไซต์รออยู่แล้ว ข้าพเจ้าเลยรีบวิ่งเอากระเป๋าไปไว้ที่รถก่อน และขอไปล้างหน้า ล้างตัวที่ห้องน้ำแป๊ปนึง จากนั้นข้าพเจ้าก็วิ่งไปขึ้นรถมอเตอร์ไซต์โดยคุณลุงก็รีบบึ่งมอเตอร์ไซต์ไปอย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะไปให้ทันรถทัวร์กลับกรุงเทพฯ 
        ในทีสุด ข้าพเจ้าก็มาถึงท่ารถเมล์จนได้ ทันรถออกพอดิบพอดี ทางท่ารถบอกว่ารถจะมาถึงล่าช้านิดหน่อย ซึ่งถือได้ว่าเป็นข้อได้เปรียบของข้าพเจ้า ฮ่าๆๆๆๆ

         จบแล้ว ทริปนี้! กับการเดินขึ้นเขาหลวง 4 ชม. และวิ่งลงเขาหลวง 3 ชม. ฮ่าๆๆๆๆ แล้วเจอกันทริปต่อไป…. 



สรุปค่าใช้จ่ายสำหรับทริปนี้ (1,371 บาท) **ไม่รวมค่าเมล์เครื่องไปกลับอุทยานฯ ข้าพเจ้าจำราคามิได้**
-ค่ารถทัวร์ไปกลับ (กรุงเทพฯ-คีรีมาศ) 395+338 = 733 บาท
-ค่าอาหาร (ซื้อจากเซเว่นแบกขึ้นเขาหลวง) = 55 บาท
-ข้าวไข่เจียว 2 มื้อ (มื้อละ 50 บาท) = 100 บาท
-ค่าเช่าเต้นท์/ -ค่ามัดจำขยะ 200 (ได้คืนก่อนออกจากอุทยานฯ) (ขนาดนอน 3 คน 225 บาท) + ค่าเสื่อปูนอน 20 บาท = 245 บาท (หักค่ามัดจำขยะออกแล้ว)
-ค่าลูกหาบขนกระเป๋า ขาขึ้นเที่ยวเดียว (กระเป๋าน้ำหนัก 7 กก. คิด กก. ละ 25 บาท) = 175 บาท
-ค่าลูกชิ้นตอนเช้า ที่ท่ารถทัวร์ + น้ำหวาน = 40 บาท
-ค่ารถเมล์ (ไปกลับขนส่งหมอชิต) 15 + 8 = 23 บาท

วิธีการเดินทาง:
-การเดินทางไปสุโขทัยด้วยรถทัวร์: ทุกท่านสามารถไปขึ้นรถทัวร์ได้ที่สถานีขนส่งหมอชิต มีหลากหลายบริษัทให้ได้เลือกใช้บริการจ้า หรือจะเข้าไปจองออนไลน์ได้ที่ www.busonlineticket.co.th 

**มอเตอร์ไซต์รับจ้าง ติดต่อ ลุงประเทือง Tel. 089-7045239**

Comments