A Day in Thonburi
“ย่านฝั่งธนฯ” เป็นอีกหนึ่งย่านเก่าแก่ของกรุงเทพมหานครที่ข้าพเจ้าชอบมาก ^^ ข้าพเจ้าคิดว่าที่นี่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีทั้งเสน่ห์ มีความหลากหลายของผู้คน วัฒนธรรม รวมไปถึงอาหารการกินที่น่าสนใจเป็นยิ่งนัก ซึ่ง
ทริปนี้ของข้าพเจ้าก็ไม่มีอะไรมากมายนอกจากการเดินไปเรื่อยๆ เปื่อยๆ ชมนก ชมไม้ จิบชา และชักภาพ… 😂
สำหรับวิธีการเดินทางที่ข้าพเจ้าเลือกใช้ในการเดินทางมาย่านฝั่งธนฯ นั้น ขั้าพเจ้าเลือกใช้บริการรถเมล์สาย 73 (สวนสยาม - สะพานพุทธ) โดยขึ้นจากป้าย BTS สนามกีฬาแห่งชาติ และนั่งไปจนสุดสายและลงที่ป้ายสะพานพุทธ จากนั้นข้าพเจ้าก็เริ่มเดิน และเดิน โดยก่อนจะเดินข้ามไปฝั่งธนฯ ข้าพเจ้าก็ขอแวะไปชมความสวยงามของดอกไม้นานาพรรณเสียก่อน ณ “ปากคลองตลาด” หรือที่ชาวต่างชาติรู้จักกันในนาม “ตลาดดอกไม้ (Flower Market)” ซึ่งถือได้ว่าตลาดแห่งนี้เป็นตลาดดอกไม้ที่ใหญ่ เก่าแก่ และมีชื่อเสี่ยงมากๆ เป็นที่รู้จักทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติกันเลยทีเดียว
โดยในสมัยก่อนตลาดแห่งนี้เคยเป็นตลาดขายปลามาก่อน จนกระทั่งต่อมาได้มีการย้ายตลาดปลาไปตั้งอยู่บริเวณหัวลำโพงในสมัยรัชกาลที่ 5 เนื่องจากปากคลองตลาดตั้งอยู่ใกล้บริเวณพระราชวัง และส่งกลิ่นคาวปลาคละคลุ้งไปทั่วบริเวณนั้น ซึ่งรัชาลที่ 5 ท่านเห็นว่ากลิ่นคาวปลามิควรมีอยู่ใกล้ๆ พระราชวัง ดังนั้นเหล่าปลาทั้งหลายจึงถูกย้ายไปแถบหัวลำโพงนู่นเลย ^^ แล้วก็ให้เหล่าพ่อค้าแม่ขายเปลี่ยนมาขายพืชผักผลไม้กันแทน ทีนี้ก็ไม่มีปัญกาเรื่องกลิ่นคาวปลาอีกแล้วจ้า จากนั้น ในเวลาต่อมาได้มีตลาดเกิดใหม่ที่ขายสินค้าผระเภทผัก ผลไม้ เช่นเดียวกันในบริเวณใกล้เคียง ทำให้พ่อค้าแม่ขายเกิดการปรับตัวเกิดขึ้น และได้เริ่มนำดอกไม้มาขายในตลาดตั้งแต่นั้นจนถึง ณ ปัจจุบันนี้ ปากคลองตลาดก็ได้กลายเป็นตลาดดอกไม้ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากกกกก ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ! โซววว กู้ดดดดด 😊
ข้าพเจ้าชอบความคึกคักของตลาด รวมไปถึงสีสันอันสวยสดงดงามของดอกไม้นานาชนิด โดยที่ใครๆ ก็สามารถมาเดินดูดอกไม้ เลือกดอกไม้กันได้แบบเพลินๆ หรือจะไปเดินถ่ายรูปแบบชิคๆ คูลๆ ก็ย่อมได้เช่นกัน ><
ข้าพเจ้าเดินมาเรื่อยๆ สายตาก็ไปสะดุดกับเจดีย์สีเขียวตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่อีกฟากถนนซึ่งห่างจากบริเวณปากคลองตลาดไม่มากนัก ข้าพเจ้าเลยชักภาพไปสองสามรูปและเดินไปดูใกล้ๆ เสียหน่อย ซึ่งข้าพเจ้าเหลือบไปเห็นป้ายประวัติของวัดอยู่ด้านหน้าเขียนเอาไว้ว่า “วัดราชบุรณราชวรวิหาร” หรือแต่เดิมชื่อ “วัดเลียบ” เป็นอีกหนึ่งวัดเก่าแก่ที่ถูกสร้างในสมัยก่อนกรุงธนบุรี และรัตนโกสินทร์ โดยวัดแห่งนี้ได้มีการบูรณะอยู่หลายครั้งด้วยกัน ได้แก่
ครั้งแรก สมัยรัชกาลที่ 1 : เกิดการบูรณะปฎิสังขรณ์ขึ้น จากนั้นก็สถาปนาวัดเลียบขึ้นเป็นพระอารามหลวง และได้พระราชทานนามว่า “วัดราชบุรณราชวรวิหาร”
ครั้งที่สอง สมัยรัชกาลที่ 2 : มีการบูรณะโดยการสร้างพระอุโบสถและพระระเบียงขึ้นใหม่ล้อมรอบพระอุโบสถ
ครั้งที่สาม สมัยรัชกาลที่ 3 : มีการขุดคลองรอบพระอาราม 3 ด้าน (ตั้งแต่ปากคลอง ไปจนถึงคลองโอ่งอ่างซึ่งเป็นคูพระนคร) และยังได้มีการสร้างพระปรางค์องค์ใหญ่ขึ้น ประดับด้วยกระเบื้องเครือบทั้งองค์
ครั้งที่สี่ สมัยรัชกาลที่ 4 : เกิดการบูรณะครั้งใหญ่ขึ้น เนื่องจาก ณ ช่วงเวลานั้น ได้มีการตัดถนนตรีเพชรผ่านบริเวณกลางวัดขึ้น จากนั้นได้ทรงโปรดให้สร้างห้องแถวให้ประชาชนได้อยู่อาศัย ส่วนด้านหลังทรงโปรดให้เป็นพื้นที่ของโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
ต่อมาในปี พ.ศ. 2488 : วัดราชบุรณราชวรวิหาร ได้ถูกระเบิดจากทางอากาศในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้พระอุโบสถ พระวิหาร และกุฎิเสนาสนะ เกิดความเสียหายเป็นอย่างมากทำให้ในเวลาต่อมาทางคณะสังฆมนตรีและคณะรัฐมนตรีมีมติให้ยุบวัด และได้นำความนี้ทูลรัชกาลที่ 9 โดยให้วัดตามหัวเมืองต่างๆ มานำพระพุทธรูปที่ประดิษฐานที่พระระเบียง กลับไปประดิษฐานไว้ยังวัดของเมืองนั้นๆ ได้
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง : รัชกาลที 9 ทรงได้เสด็จพระราชดำเนินทำการยกช่อฟ้าและเททองหลังพระประธานของวัด
นอกจากนั้น สิ่งที่ข้าพเจ้าสนใจเป็นอย่างยิ่งนั่นก็คือ พระปรางค์สีเขียวองค์ใหญ่ ที่ได้รับการบูรณะอีกครั้งในปี พ.ศ. 2505 เนื่องจากความเสียหายจากระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยความดูแลของกระทรวงมหาดไทย
โดยสำหรับพระปรางค์องค์นี้นั้น เป็นพระปรางค์ที่ถูกสร้างในสมัยของรัชกาลที่ 3 นั่นเอง เป็นพระปรางค์ก่ออิฐถือปูน มีฐานกว้าง 15 วา (10 เมตร) สูง 16 วา 2 ศอก (ประมาณ 32 เมตร) ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบทั้งองค์
หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็เดินข้ามสะพานที่อยู่ขนานกับสะพานพุทธ เพื่อที่จะเดินข้ามไปยังฝั่งธนบุรี โดยระหว่างทางที่จะเดินไปนั้น บริเวณบันไดตรงทางขึ้นสะพาน และบนสะพานเองนั้น เต็มไปด้วยขยะ ซึ่งข้าพเจ้าก็อยากจะบอกว่าขยะที่เกลื่อนพื้นนั้น มันทำให้บดบังความสวยงามของทัศนียภาพเป็นอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นแล้วข้าพเจ้าก็อยากที่จะรณรงค์ให้ทุกคนช่วยกัน นำมาแล้วก็นำกลับไปทิ้งด้วยก็จะดีมาก หรือหากจะให้ดียิ่งขึ้นถ้าสามารถแยกขยะด้วยก็จะดียิ่งยิ่งขึ้นไปอีกนะจ๊ะ :)
โดย “สะพานพุทธ” หรือ “สะพานพระพุทธยอดฟ้า” ได้เปิดทำการครั้งแรกในวันที่ 06 เม.ย. ปีพ.ศ. 2475 (วันจักรี) ซึ่งเป็นสะพานที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 7 เพื่อเป็นอนุสรณ์ลำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และสะพานพุทธยังเป็นสะพานที่เชื่อมต่อการคมนาคมให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่ทั้งฝั่งพระนครและฝั่งธนบุรีอีกด้วย
ข้าพเจ้าเดินข้ามสะพานมาถึงฝั่งธนบุรี ใช้เวลาเดินไม่เกิน 10 นาที ก็ถึงแล้ว ข้าพเจ้าเดินตรงไปตรงทางเดินติดริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่คาดว่าน่าจะมีการทำเพิ่มใหม่ เพราะข้าพเจ้าจำได้ว่าตอนที่ได้มาครั้งล่าสุดทางเดินยังไม่สวยงาม แลดูสะอาดสอ้านเท่านี้มาก่อน พอปรับปรุงใหม่แล้วทำให้ดูสะอาดตามากขึ้น มีการเอาภาพวาดต่างๆ มาติดตรงที่กั้นริมน้ำก็ยิ่งทำให้ทางเดินบริเวณนี้ดูน่าเดินน่ามองมากเข้าไปอีก ^^
ข้าพเจ้าเดินมาเรื่อยๆ ก็มาถึง “วัดประยูร” หรือชื่อเต็ม “วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร” เป็นวัดที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2371 โดยเมื่อก่อนพื้นที่ตรงนี้เดิมเป็นที่ดินของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์ (ดิศ บุญนาค) ซึ่งเป็นสวนกาแฟมาก่อน ต่อมาท่านได้อุทิศที่ดินบริเวณนี้ให้สร้างวัดขึ้น เมื่อครั้งที่ท่านได้ดำรงแหน่งเป็นเจ้าพระยาครัง ว่าที่กรมท่าและสมุพระกลาโหม
กระทั่งในปี พ.ศ. 2375 ก็ได้มีการถวายเป็นพระอารามหลวงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้พระราชานนามว่า วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร แต่ชาวบ้านนิยมเรียกว่า "วัดรั้วเหล็ก" เนื่องจากมีรั้วเหล็กเป็นกำแพงวัด โดยรั้วเหล็กที่ว่ากันนี้ แต่เดิมสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์ได้มีการนำสั่งเข้ามาจากประเทศอังกฤษ เพื่อทูลถวายแก่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อใช้เป็นกำแพงในพระราชวัง แต่พระองค์ท่านมิทรงโปรด ทำให้สมเด็จเจ้าพระยาขอรับพระราชทานมาใช้ล้อมเป็นกำแพงวัดประยูรแห่งนี้แทนนั่นเอง
สำหรับวัดประยูรแห่งนี้นั้น สิ่งที่ข้าพเจ้าคิดว่าโดดเด่น มีความสวยงามและน่าสนใจมากๆ นั่นก็คือ พระบรมธาตุมหาเจดีย์องค์ใหญ่สีขาวที่ตั้งโดดเด่นเป็นสง่าอยู่ภายในวัด โดยพระบรมธาตุมหาเจดีย์ที่วัดประยูรแห่งนี้ยังได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 จากโครงการประกวดรางวัล ด้านการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม (Award of Excellence: Asia-Pacific Awards for Cultural Heritage Conservation) ในโครงการบูรณะปฏิสังขรณ์พระบรมมหาเจดีย์วัดประยูร จากองค์การ ยูเนสโก UNESCO (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization: องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ) อีกด้วย ยอดเยี่ยม!
โดยมีเกณฑ์การให้รางวัลดังนี้
1. รักษามรดกอังทรงคุณค่าที่เป็นโบราณสถานเอาไว้ได้อย่างดี มีการบูรณะคงรูปลักาณ์เดิม โดยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่ไม่เกิดการทำลาย
2. พระบรมมหาเจดีย์ และพรินทร์ปริยธรรมศาลา เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยทุกฝ่ายได้ร่วมกันบูรณะดูแล
3. เมื่อทำเสร็จยังคงคุณค่าประโยชน์ใช้สอยได้อย่างสมบูรณ์ และยังถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คนอีกด้วยนั่นเอง
ข้าพเจ้าเดินเข้าไปไหว้พระในพระอุโบโบสถ์ และเดินต่อเข้าไปด้านในพระบรมมหาเจดีย์ ซึ่งพอเดินเข้าไปด้านในแล้ว ข้าพเจ้าก็ถึงบางอ้อว่าทำไมเจดีย์ของที่นี่ถึงได้รับรางวัลชนะเลิศด้านการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม โดยไม่เกิดการทำลาย เป็นเพราะการร่วมมือกันของทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา ภาคเอกชนและประชาชนโดยรอบที่ได้ร่วมกันคิดค้นวิธีที่จะทำให้เจดีย์องค์ใหญ่ที่เอียงไปข้างนึง ให้ยังคงสามารถกลับมาตั้งตรงและยืนหยัดได้อย่างสวยงาม
โดยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาร่วมบูรณะกับเทคโนโลยีสมัยอยุธยา โดยเฉพาะบริเวณแกนกลางของเจดีย์ที่มีความสูง 20 เมตร และมีน้ำหนัก 144 ตัน ซึ่งเดิมนั้นเจย์องค์นี้มีลักษณะหักและเอียงไปทางแม่น้ำเจ้าพระยา และหากมีการรื้อแกนกลางออก ทางสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลากกระบัง (หน่วยงานหลักในการบูรณะในครั้งนี้) ยืนยันว่าตัวเจดีย์จะยังอยู่ได้แน่นอน แต่ทางกรมศิลปากรไม่อนุญาต เนื่องจากเจดีย์ที่มีแกนกลางที่เป็นเทคนิคแบบอยุธยา เหลืออยู่เพียงแห่งเดียวในประเทศไทยเท่านั้น โดยทางสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลากกระบัง จึงได้คิดค้นแนวทางในการบูรณะเสาแกนกลางใหม่ โดยการนำโครงเหล็กมาหุ้มแกนกลางก่อน จากนั้นจึงใช้แม่แรงยกเสาแกนกลางทั้งสองด้านให้กลับตรงเช่นเดิมนั่นเอง! สุดยอดมาก!
ข้าพเจ้าใช้เวลาเดินชมนกชมไม้ ชื่นชมความสวยงามอยู่ที่วัดประยูรอยู่สักพัก ก็เดินต่อไปตามทางเดินริมแม่น้ำเจ้าพระยา ข้าพเจ้าขอบอกเลยว่าอากาศวันนั้นมันค่อนข้างที่จะครึ้มฟ้าครึ้มฝน และร้อนแบบอบอ้าวมากๆ ข้าพเจ้าเดินไปสักพักก็เดินมาถึงด้านหน้าทางเข้าชุมชนกุฎีจีน โดยก่นเดินเข้าไปในชุมชน ข้าพเจ้าก็ขอนั่งจิบชาคลายร้อนก่อน โดยด้านหน้าทางเข้าชุมชนจะมีร้านอาหาร และคาเฟ่ ตั้งอยู่ ซึ่งร้านนี้เป็นร้านที่ข้าพเจ้าเคยมากินขนมจีนแกงคั่วไก่โปรตุเกส ซึ่งมันอร่อยมากๆๆๆๆ ชื่อร้าน "เฮโลนมสด" เป็นร้านเล็กๆ บรรยากาศดี มีเมนูทั้งคาวหวาน แต่ข้าพเจ้ามิได้ถ่ายรูปมาซึ่งหากใครจะไปชุมชนกุฎีจีน ร้านจะตั้งอยู่ด้านหน้าทางเข้าเลยจ้า
สำหรับ “ชุมชนกุฎีจีน” นั้น เป็นชุมชนชาวไทยเชื้อสายโปรตุเกสที่ได้อพยพมาจากกรุงศรีอยุธยาเมื่อครั้งที่กรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2310 ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงโปรดเกล้าฯ ให้ชาวโปรตุเกสกับชาวจีนมาตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่ในพื้นที่บริเวณแห่งนี้นั่นเอง
โดยที่มาของชื่อ “กุฎีจีน” นั้น มาจากชื่อคลองที่อยู่ติดกับชุมชนมีชื่อว่า คลองกุฎีจีน ซึ่งคำว่า กุฎีจีน หรือ กะดีจีน มีความหมายว่า ที่อยู่ของพระจีน โดยเมื่อย้อนกลับไปในสมัยอยุธยา บริเวณหน้าปากคลองกุฎีจีนมีศาลเจ้าจีนตั้งอยู่ และมีพระจีนอาศัยอยู่ที่ศาลเจ้าแห่งนั้น ก็เลยทำให้คนที่อาศัยอยู่ละแวกนั้นเรียกศาลเจ้าแห่งนี้ว่า กุฎีจีน ซึ่งก็คือที่อยู่ของพระสงฆ์ นั่นเอง (กุฎี มีความหมายว่ากระท่อม หรือที่อยู่ของนักบวช)
โดยชุมชนกุฎีจีนในสมัยก่อนนั้นชาวบ้านจะเรียกว่า หมู่บ้านแม่พระลูกประคำ และจะเรียกผู้ที่อยู่อาศัยที่เก็นชาวโปรตุเกสในสมัยนั้นว่า ฝรั่งกุฎีจีน ตามชื่อคลองกุฎีจีน นั่นเอง ต่อมาหมู่บ้านจึงเปลี่ยนตามชื่อของคลอง จนกลายมาเป็นชื่อชุมชนกุฎีจีน จนถึงปัจจุบัน
ส่วนคำว่า “กะดีจีน” นั้น เป็นชื่อเรียกย่านทั้งบริเวณนี้ ซึ่งประกอบไปด้วย 6 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนกุฎีจีน ชุมชนกุฎีขาว ชุมชนวัดกัลยาณ์ ชุมชนวัดบุบผาราม ชุมชนวัดประยุรวงศ์ และชุมชนโรงคราม ที่รวมตัวกันเป็นย่านชุมชนเก่าแก่กว่า 200 ปี นับตั้งแต่สมันธนบุรีมาจนถึงปัจจุบันนั่นเอง
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของชุมชนกุฎีจีน ได้แก่
"โบสถ์ซางตาครู้ส" หรือวัดซางตาครู้ส หรือวัดกุฎีจีน เป็โบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิค โดยปัจจุบันเป็นอาคารหลังที่สามแล้ว ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นการทดแทนโบสถ์หลังเดิมที่ชำรุดทรุดโทรมมาก โดยอาคารซางตาครู้ส เป็นอาคารรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา และสถาปัตยกรรมฟื้นฟูคลาสสิค มีจุดเด่นที่ยอดโดมแบบอิตาลี่ ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับโดมแห่งมหาวิหารฟลอเรนซ์ ภายในเป็นอาคารชั้นเดียว มีจุดเด่นอีกหนึ่งอย่างคือ การใช้เสาลอยรับน้ำหนักของของฝ้าเพดานแบบโค้ง รวมถึงกระจกสีที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวข้องกัยคริสตศาสนา
วัดซางตาครู้ด ถือได้ว่าเป็นศาสนสถานที่สำคัญของชาวชุมชนกุฎีจีน โดยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้พระราชานที่ดินให้แก่ชาวโปรตุเกส ซึ่งได้เข้าร่วมศึกต่อต้านพม่าจนได้รับชัยชนะ ต่อมานักบวชชาวโปรตุเกสจึงได้เริ่มก่อสร้างอาคารวัดหลังแรกที่สร้างด้วยไม้ท้้งหมดเสร็จในปี พ.ศ. 2376 ต่อมาได้เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในชุมชนในปี พ.ศ. 2376 ทำให้อาคารวัดพังเสียหายทั้งหมด จึงต้องก่อสร้างใหม่ด้วยอิฐถือปูน และได้ก่อสร้างใหม่อีกครั้งในปี พ.ศ. 2459 ซึ่งก็คืออาคารวัดหลังปัจจุบันนั่นเอง
ข้าพเจ้าเดินผ่านโบส์ซางตาครู้ดมา ก็เดินตรงเข้าตรอกเล็กๆ เพื่อที่จะเข้ามายังชุมชนกุฎีจีน โดยภายในชุมชนมีทั้งภาพ Street Art คาเฟ่ รวมไปถึงร้านขายขนมฝั่งกุฎีจีน ที่ถือได้ว่าเป็นขนมที่ขึ้นชื่อในย่านนี้เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งขนมฝรั่งกุฎีจีนเป็นขนมที่ได้รับอิทธิพลมาจากขนมโปรตุเกสเช่นเดียวกับขนมไทยหลายอย่าง เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอนทอง เป็นต้น โดยตั้งแต่ยุคกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง สมัยของสมเด็จพระนารายมหาราช โดยท้าวทองกีบม้า หรือ มารี กีมาร์ โดยตัวขนมแบบต้นตำหรับเป็นขนมแบบโปรตุเกส ที่มีวัตถุดิบ 3 อย่าง ได้แก่ แป้งสาลี ไข่เป็น และน้ำตาลทราย เป็นต้น มีวิธีการทำโดยการตีส่วนผสมทั้ง 3 อย่างเข้าด้วยกันจนฟู และเทลงแม่พิมพ์ โดยไม่ผสมผงฟู ยีสต์ หรือสารกันบูด จากนั้นโรยด้วยลูกเกด ลูกพลับอบแห้ง ฟักเชื่อม และน้ำตาลทราย ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากขนมของจีน โดยชาวจีนเชื่อว่าเมื่อได้รับประทานฟักเชื่อมแล้ว จะก่อให้เกิดความร่มเย็น ส่วนน้ำตาลทรายจะมีความหมายถึงความมั่งคั่งไม่รู้จบเหมือนจำนวนน้ำตาลทรายที่ไม่สามารถนับเม็ดได้นั่นเอง ส่วนลูกพลับอบแห้งและลูกเกด ก็นับได้ว่าเป็นผลไม้ที่มีราคาและมีคุณค่าทางอาหาร โดยหลังจากที่ใส่แม่พิมพ์แล้วก็นำไปอบจนสุกโดยวิธีการอบแบบโบราณด้วยเตาถ่าน ขนมฝรั่งจึงมีความกรอบนอกนุ่มในนั่นเอง ^^
ทั้งนี้ เดิมทีนั้นขนมฝรั่งกุฏีจีนจะทำกันในเฉพาะช่วงเทศกาลสำคัญทางศาสนาและแจกจ่ายรับประ
ทานกันเองในครอบครัวหรือชุมชนเชื้อสายโปรตุเกส เช่น ช่วงเทศกาลคริสมาส ต่อมาได้รับความนิยมและรู้จักกันมากขึ้น จึงมีการทำออกมาขายนั่นเอง ซึ่งหากใครมีโอกาสได้เดินทางมาที่ชุมชนกุฎีจีนก็จะได้เห็นขนมฝรั่งกุฎีจีนขายตลอดทางกันเลย และอย่าพลาดที่จะได้ลองชิมกันด้วย ข้าพเจ้าเดินเข้ามาอีกหน่อยก็จะเจอกับ “พิพิธภัณฑ์กุฎีจีน” ซึ่งเป็นสถานที่ที่เก็บรวบรวมเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ชาวกุฎีจีน โดยภายในพิพิธภัณฑ์ก็มีเรื่องราวเริ่มตั้งแต่การเดินทางของชาวโปรตุเกสที่เข้ามายังประเทศไทยตั้งแต่สมัยอยุธยา นอกจากนั้นยังมีการจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่ชาวไทยและชาวโปรตุเกสได้มีการทำการค้าขายแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน เช่น ปืนใหญ่ เครื่องเทศต่างๆ รวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้โบราณที่หาดูได้ยากยิ่ง ได้แก่ เครื่องถ้วยชาม ตู้ โต๊ะ เตียง และยังมีโต๊ะจำลองอาหารโปรตุเกสอีกด้วย ทั้งนี้ข้าพเจ้ามิได้เข้าไปเยี่ยมชมด้านใน โดยหากใครจะเข้าไปชมด้านในก็ย่อมได้เช่นกัน ฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่หากใครอยากจะอุดหนุนน้ำชา กาแฟ ต่างๆ ก็ย่อมได้เช่นกัน
เดินถัดออกมาเรื่อยๆ ในตรอก ก็จะเจออีกหนึ่งร้านขนมฝรั่งกุฎีจีนชื่อดัง อย่างร้าน “ธนูสิงห์” เป็นร้านเก่าแก่ที่ยังมีวิธีการทำขนมฝรั่งกุฎีจีนตามแบบต้นตำรับ ที่มีแค่แป้งสาลี ไข่ และน้ำตาล เป็นต้น โดยขนมฝรั่งกุฎีจีนร้านนี้จะมีอยู่ 2 แบบ คือ ขนมฝรั่งกุฎีจีนแบบดั้งเดิมชิ้นเล็ก (ไม่มีโรยหน้าใดๆ) สามารถเก็บได้นาน 7-10 วัน และแบบที่สองจะเป็นชิ้นใหญ่ที่โรยหน้าด้วยลูกเกด ลูกพลับ ฟัก และน้ำตาลทราย สามารถเก็บได้นาน 10-14 วัน นั่นเอง
ข้าพเจ้าเดินเข้าตามตรอก เดินเรื่อยๆ จนออกมาจากชุมชนกุฎีจีนแล้วก็เดินเลียบริมแม่น้ำเจ้าพระยาไปตามทางเดินริมน้ำ โดยระหว่างทางด้านซ้ายมือจะมีบ้านทรางไทยสองชั้นหลังหนึ่งตั้งตระหง่านโดดเด่นเป็นสง่าอยู่หลังหนึ่ง ข้าพเจ้าเชื่อว่าหลายๆ คนที่ได้เดินทางมาแถบๆ นี้ ก็น่าจะได้เห็นบ้านหลังนี้อยู่เป็นแน่แท้
โดยบ้านหลังนี้เป็น “บ้านวินเซอร์” หรือบ้านของคุณพระประกอบ นั่นเอง ซึ่งตามประวัติที่ติดป้ายไว้บริเวณตรงทางเดินริมน้ำ ได้ความว่าเจ้าของเดิมคือ นางสมบุญ วินด์เซอร์ บุตรสาวเจ้าของโรงสีข้าวคลองบางหลวง ซึ่งได้สมรสกับ นายหลุยส์ วินด์เซอร์ บุตรชายของนายกาเนียร์ วินด์เซอร์ กัปตันเรือชาวอังกฤษ และเป็นผู้ก่องตั้งกิจการห้างวินด์เซอร์ (ห้างสี่ตา) ณ บริเวณถนนเจริญกรุง ซึ่งได้ย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากอยู่ในพื้นที่ชุมชนกุฏีจีน บ้านเลขที่ 130 (บ้านวินด์เซอร์) มีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่มีการตกแต่งและประดับด้วยลวดลายไม้ฉลุตามหน้าจั่วช่องระบายอากาศ ลูกกองระเบียงและรอบชายคา ซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยรัชกาลที่ 5 หรือเป็นที่รู้จักว่า เรือนแบบขนมปังผิง หรือเรื่อนมะนิลา เป็นอาคารไม้สองชั้น ยกพื้นส่วนล่างสูง มุขด้านหน้าตกแต่งด้วยซุ้มโค้ง ซึ่งเดิมทีอาจเป็นระเบียง เพราะมีพนักระเบียง ต่อมาอาจทำผนัง หน้าต่าง และกันเป็นห้องเพิ่มเติม ตัวบ้านหันหน้าออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยา โดยผังพื้นบ้านเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าตรงกันทั้งชั้นล่างและชั้นบน เป็นต้น ข้าพเจ้าชื่นชอบบ้านวินด์เซอร์หลังนี้เป็นยิ่งนัก ^^
ข้าพเจ้าเดินเข้ามาเรื่อยๆ ก็เจอกับมัสยิดทรงไทยสีขาวแห่งเดียวในโลก หรือ "มัสยิดบางหลวง" หรือที่รู้จักกันในชื่อ “กุฎีขาว” เป็นมัสยิดที่ตั้งอยู่ภายในชุมชนกุฎีขาว มีอายุมากกว่า 200 ปี มาแล้ว โดยมัสยิดแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นสถาสนสถานที่สำคัญของชุมชนกุฎีขาวเป็นอย่างยิ่ง โดยสันนิษฐานว่ามัสยิดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยรัชกาล 1 โดยการนำของโต๊ะหยี ซึ่งเป็นพ่อค้าชาวมุสลิม จากนั้นก็ได้มีการปฏิบูรณะสังขรณ์หลายครั้ง ซึ่งสำหรับมัสยิดบางหลวงหลังปัจจุบันได้สันนิษฐานว่าได้มีการสร้างขึ้นใหม่ในรัชกาลที่ 3 เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนทั้งหลัง ผังอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 12 เมตร ยาว 14 เมตร และสูง 16 เมตร มีหน้าบันสองด้านของหลังคาประดับด้วยปูนปั้น ซึ่งผสมผสานระหว่างศิลปะไทย ตะวันตก และจีน โดยมัสยิดบางหลวงเป็นแห่งเดียวที่ไม่ได้ก่อสร้างตามพิมพ์นิยมทั่วไปที่มีหลังคารูปโดมและมีสัญลักษณ์ดาวและเดือนเสี้ยวประดับอยู่ และนับได้ว่าเป็นมัสยิดก่ออิฐถือปูนแห่งเดียวในโลกที่เป็นทรงไทยทั้งหลังนั่นเอง
สำหรับชุมชนกุฎีขาวนั้น ก็เป็นจุดสุดท้ายสำหรับการเดินเที่ยวของข้าพเจ้าในทริปนี้ โดยเส้นทางที่ข้าพเจ้าเดินก็เป็นเส้นทางเดินตาม google maps ด้านล่างนี้จ้า
-ชาไทย + ขนมปัง + น้ำเปล่า ราคารวม ประมาณ 50 บาท -ค่ารถเมล์สาย 73 ไปกลับ ราคา 15x2 = 30 บาท
แล้วเจอกันทริปต่อไปน้า... :) อ้างอิง



















































Comments
Post a Comment